ไขข้อสงสัย! ความแตกต่างของน้ำมันแต่ละชนิด เลือกให้รถแรง แถมเครื่องยนต์ทนทาน
สวัสดีครับเพื่อนๆ นักซิ่ง! เคยไหมครับที่เวลาไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง แล้วเจอกับน้ำมันหลายเบอร์ หลายยี่ห้อ จนเลือกไม่ถูก? วันนี้ RacingClub จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ ความแตกต่างของน้ำมันแต่ละชนิด ให้เพื่อนๆ เข้าใจง่ายๆ เหมือนคุยกับเพื่อนข้างสนามแข่ง จะได้เลือกน้ำมันที่ใช่ เหมาะกับรถของเราที่สุด แถมยังช่วยให้เครื่องยนต์ทนทาน แรงได้ใจอีกด้วยครับ
ทำไมต้องรู้เรื่องน้ำมันเครื่อง?
ก่อนจะไปเจาะลึกถึง ความแตกต่างของน้ำมันแต่ละชนิด เรามาดูกันก่อนว่าทำไมเราถึงต้องใส่ใจเรื่องน้ำมันเครื่องกันขนาดนี้ น้ำมันเครื่องเนี่ย เปรียบเสมือนเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจของรถยนต์เลยนะครับ มีหน้าที่หลักๆ คือ
- หล่อลื่น ลดการเสียดสีของชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์
- ระบายความร้อน ช่วยลดอุณหภูมิของเครื่องยนต์
- ทำความสะอาด ชะล้างสิ่งสกปรกและเศษโลหะ
- ป้องกันสนิม ป้องกันการกัดกร่อนของชิ้นส่วน
- ซีล ช่วยให้กำลังอัดในกระบอกสูบดีขึ้น
ถ้าเราเลือกน้ำมันเครื่องไม่เหมาะสม หรือปล่อยให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ ก็จะส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้นะครับ อาจจะทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็ว เครื่องร้อนจัด กินน้ำมันมากขึ้น หรือร้ายแรงถึงขั้นเครื่องยนต์พังเลยทีเดียว
ประเภทของน้ำมันเครื่อง: รู้จักก่อนเลือก
ความแตกต่างของน้ำมันแต่ละชนิด หลักๆ แล้วมาจากประเภทของน้ำมันเครื่องนั่นเองครับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. น้ำมันเครื่อง Mineral (น้ำมันแร่)
น้ำมันเครื่อง Mineral เป็นน้ำมันเครื่องที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบโดยตรง มีราคาถูกที่สุด แต่ก็มีประสิทธิภาพต่ำที่สุดเช่นกัน เหมาะสำหรับรถยนต์รุ่นเก่า หรือรถที่ใช้งานไม่หนักมาก
2. น้ำมันเครื่อง Synthetic Blend (น้ำมันกึ่งสังเคราะห์)
น้ำมันเครื่อง Synthetic Blend เป็นน้ำมันเครื่องที่ผสมระหว่างน้ำมันแร่กับน้ำมันสังเคราะห์ มีประสิทธิภาพดีกว่าน้ำมันแร่ แต่ก็ยังสู้ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ๆ ไม่ได้ มีราคาปานกลาง เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป
3. น้ำมันเครื่อง Synthetic (น้ำมันสังเคราะห์แท้)
น้ำมันเครื่อง Synthetic เป็นน้ำมันเครื่องที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี มีประสิทธิภาพสูงสุด ทนความร้อนได้ดีเยี่ยม ปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีกว่า มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า แต่ก็มีราคาสูงที่สุด เหมาะสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง หรือรถที่ใช้งานหนัก
เบอร์น้ำมันเครื่อง: ตัวเลขที่บอกความหนืด
นอกจากประเภทของน้ำมันเครื่องแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือเบอร์น้ำมันเครื่องครับ เบอร์น้ำมันเครื่องจะบอกถึงความหนืดของน้ำมัน โดยจะแสดงเป็นตัวเลข เช่น 10W-40, 5W-30 เป็นต้น
ตัวเลขตัวแรกที่อยู่หน้าตัวอักษร W (Winter) บอกถึงความหนืดของน้ำมันในขณะที่เครื่องยนต์เย็น (Cold Start) ยิ่งตัวเลขน้อย น้ำมันก็จะยิ่งใส ทำให้สตาร์ทเครื่องง่ายในสภาพอากาศเย็น
ตัวเลขตัวที่สองที่อยู่หลังตัวอักษร W บอกถึงความหนืดของน้ำมันในขณะที่เครื่องยนต์ร้อน (Operating Temperature) ยิ่งตัวเลขมาก น้ำมันก็จะยิ่งหนืด ช่วยปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีในสภาวะที่เครื่องยนต์ทำงานหนัก
โดยทั่วไปแล้ว คู่มือประจำรถจะระบุเบอร์น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับรถของเราไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าไม่แน่ใจ สามารถปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญได้ครับ
ตารางสรุปความแตกต่างของน้ำมันเครื่องแต่ละชนิด
ประเภทน้ำมันเครื่อง | ราคา | ประสิทธิภาพ | เหมาะสำหรับ |
---|---|---|---|
Mineral (น้ำมันแร่) | ถูก | ต่ำ | รถยนต์รุ่นเก่า, ใช้งานไม่หนัก |
Synthetic Blend (น้ำมันกึ่งสังเคราะห์) | ปานกลาง | ปานกลาง | รถยนต์ใช้งานทั่วไป |
Synthetic (น้ำมันสังเคราะห์แท้) | แพง | สูง | รถยนต์สมรรถนะสูง, ใช้งานหนัก |
เลือกน้ำมันเครื่องยังไงให้เหมาะกับรถของเรา?
ในการเลือกน้ำมันเครื่องให้เหมาะสมกับรถของเรา ต้องพิจารณาหลายปัจจัยครับ เช่น
- ประเภทของรถยนต์ รถยนต์แต่ละประเภทมีความต้องการน้ำมันเครื่องที่แตกต่างกัน
- ลักษณะการใช้งาน ถ้าใช้งานรถหนัก ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง
- สภาพอากาศ ในสภาพอากาศร้อน ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดสูง
- อายุของเครื่องยนต์ รถยนต์ที่มีอายุมาก อาจจะต้องใช้น้ำมันเครื่องที่มีความหนืดสูงขึ้น
- งบประมาณ ราคาน้ำมันเครื่องแต่ละประเภทแตกต่างกัน ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับงบประมาณของเรา
นอกจากนี้ การเลือกซื้อน้ำมันเครื่องจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ก็เป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าน้ำมันเครื่องที่เราซื้อมามีคุณภาพจริง
เคล็ดลับดูแลน้ำมันเครื่องง่ายๆ ที่คุณก็ทำได้
นอกจากการเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมแล้ว การดูแลรักษาน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ครับ
- ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องเป็นประจำ ควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่คู่มือประจำรถกำหนด หรือตามที่ช่างผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
- ใช้น้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพ เลือกใช้น้ำมันเครื่องจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ
- หลีกเลี่ยงการขับรถในสภาวะที่เครื่องยนต์ทำงานหนักเกินไป การขับรถในสภาวะที่เครื่องยนต์ทำงานหนักเกินไป จะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
สรุป: เลือกน้ำมันเครื่องให้ถูก ชีวิตเครื่องยนต์ยืนยาว
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจ ความแตกต่างของน้ำมันแต่ละชนิด มากขึ้นนะครับ การเลือกน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมกับรถของเรา ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแค่เราศึกษาข้อมูล และปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญ ก็จะสามารถเลือกน้ำมันเครื่องที่ใช่ ที่ช่วยให้รถของเราแรงได้ใจ แถมยังช่วยให้เครื่องยนต์ทนทาน ใช้งานได้นานๆ เลยครับ
ถ้าเพื่อนๆ อยากรู้เรื่องรถยนต์เพิ่มเติม หรือมีข้อสงสัยอะไร สามารถคอมเมนต์มาคุยกันได้เลยนะครับ อย่าลืมกดไลค์ กดแชร์ เป็นกำลังใจให้ RacingClub ด้วยนะครับ แล้วเจอกันใหม่บทความหน้า ขอบคุณครับ! ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ YouTube