- Home
- รีวิวรถใหม่
- All-new Toyota C-HR Gen 2 สวยโดนใจ แต่ในไทยไม่ได้ไปต่อ
All-new Toyota C-HR Gen 2
Toyota เผยภาพของ All-new C-HR เจเนอเรชันที่ 2 เวอร์ชันยุโรป มีให้เลือกทั้งรุ่นไฮบริด 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร รวมถึงปลั๊กอินไฮบริด 2.0 ลิตรเป็นทางเลือก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแผนนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยแต่อย่างใด
สารบัญเนื้อหา
Toyota UK เริ่มเปิดรับจอง C-HR เจเนอเรชันที่ 2 โดยมีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย แบ่งออกเป็นเครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 ลิตร จำนวน 3 รุ่นย่อย และไฮบริด 2.0 ลิตร อีก 2 รุ่นย่อย เคาะราคาจำหน่ายระหว่าง 31,290 – 42,720 ปอนด์ หรือประมาณ 1,380,000 – 1,880,000 บาท เทียบเท่ากับราคาจำหน่ายของ BMW X1 ที่มีราคาเริ่มต้น 34,365 ปอนด์ หรือประมาณ 1,500,000 บาท
แม้ว่า Toyota C-HR จะไม่ได้ไปต่อในไทย แต่ในยุโรปยังคงทำตลาดอย่างต่อเนื่องเป็นเจเนอเรชันที่ 2 โดยมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ไฮบริด 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร (HEV) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD-i เป็นออปชันเสริมในรุ่นไฮบริด 2.0 ลิตร โดยจะเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อนล้อคู่หลังอีก 1 ตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวและยึดเกาะถนน
นอกจากนี้ โตโยต้ายังเพิ่มเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid 2.0 ลิตร ที่จะถูกเปิดตัวอีกครั้งภายในปี 2024 สามารถขับขี่ในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ พร้อมฟังก์ชัน One pedal ที่สามารถปรับแรงหน่วงได้ 3 ระดับ สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้โดยอัตโนมัติเพื่อลดการใช้พลังงานให้มากที่สุดจนกว่าจะถึงสถานีชาร์จถัดไป อีกทั้งยังสามารถปรับโหมดการขับขี่เป็นไฟฟ้าล้วน (EV) ได้โดยอัตโนมัติเมื่อรถเคลื่อนที่เข้าสู่เขตมลพิษต่ำ (LEZ – Low Emission Zone) ตามหัวเมืองใหญ่ของยุโรป
ดีไซน์ภายนอกของ Toyota C-HR ใหม่ ชูจุดเด่นด้วยการออกแบบที่เปรียบเสมือน “รถต้นแบบที่ใช้งานได้จริง” โดยยังคงเน้นเส้นสายที่ดูโฉบเฉี่ยวสไตล์รถคูเป้ พร้อมดีไซน์ด้านหน้าที่คล้ายคลึงกับ Prius และ bZ4X อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยสีตัวถังแบบ Bi-tone ที่ใช้สีตัดกันระหว่างตัวถังส่วนหน้าและส่วนท้าย พร้อมด้วยล้ออัลลอยขนาดใหญ่สุดถึง 20 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารมีการเพิ่มคุณภาพของวัสดุเพื่อสะท้อนถึงความพรีเมียมยิ่งขึ้น มาพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว (ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย) ที่ได้รับการพัฒนาให้แสดงผลได้อย่างคมชัด เข้าใจง่าย และยังสามารถตั้งค่าการแสดงผลล่วงหน้าได้ 3 รูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการขับขี่ในขณะนั้น เช่น การแสดงข้อมูลระบบช่วยเหลือการขับขี่ (ADAS) เป็นข้อมูลหลักขณะขับขี่บนมอเตอร์เวย์ เป็นต้น
ผู้ขับขี่และผู้โดยสารยังได้สัมผัสกับระบบไฟเรืองแสงภายในห้องโดยสารปรับได้ถึง 64 สี และสามารถปรับเปลี่ยนอัตโนมัติเป็นรายชั่วโมงตามช่วงเวลาของวันได้ถึง 24 สี อีกทั้งยังถูกใช้ร่วมกับระบบเตือนเมื่อเปิดประตู (Safe Exit Assist) ที่จะแสดงผลเป็นสีแดงหากพบว่าผู้โดยสารมีความเสี่ยงที่จะเปิดประตูชนเข้ากับรถยนต์หรือจักรยานยนต์ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาทางด้านข้าง โดย C-HR ถือเป็นรถรุ่นแรกของโตโยต้าที่นำเอาฟังก์ชันดังกล่าวมาติดตั้งลงในรถที่วางจำหน่ายจริง
ด้านระบบอินโฟเทนเมนท์ Toyota Smart Connect มาพร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว หรือ 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย สามารถแสดงสถานะของแบตเตอรี่ ระยะทางคงเหลือ รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งของสถานีชาร์จแต่ละแห่ง และยังมีฟังก์ชันเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน MyT เพื่อใช้งานฟังก์ชันจอดรถระยะไกลโดยที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายในรถ ช่วยเพิ่มความสะดวกเมื่อจำเป็นต้องจอดรถในที่แคบ และฟังก์ชัน Digital Key ที่สามารถใช้สมาร์ทโฟนแทนกุญแจรถโดยไม่จำเป็นต้องหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า
น่าเสียดายที่ Toyota C-HR ใหม่ ไม่มีแผนนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราแต่อย่างใด